ถึงวันหยุด ?


สิบกว่าปีมาแล้วที่ใช้ชีวิตอยู่บนเบาะรถคันนี้ในการเดินทางรวมระยะทางได้นับแสนกิโลเมตร ไม่ว่าจะร้อนแดด ทนสู้อากาศหนาวเย็นหรือจะฝ่าสายฝนกระหน่ำรุนแรงเพียงใด ชีวิตก็ยังคงปลอดภัยเสมอมา แม้ว่าบางครั้งบางหนจะเมาไปบ้างจนเผลอบิดเกินกว่า 130 ซึ่งก็เป็นนานๆ ครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเสมอไปแม้ว่าจะใช้ความระมัดระวังจนถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งสาเหตุไม่ได้เกิดจากสภาพของรถที่ซื่อสัตย์เสมอมา และไม่ได้เกิดจากสภาพความพร้อมของคนขับขี่แต่อย่างใด แต่อุบัติิเหตุทั้ง 5 ครั้งเกิดจากเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะความเร็วที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 80-100 กม./ชม.เท่านั้นเอง
  • ครั้งที่ 1 รถไถนาชนิดเดินตามพ่วงด้วยกระบะท้ายบรรทุกอ้อยเต็มลำวิ่งอยู่บนถนนสายตรงไม่มีทางแยกซ้ายขวาให้เห็นเลยในระยะครึ่งกิโลเมตร พอตามหลังเข้าใกล้ระยะห่างประมาณ 20 เมตรจึงกดแตรขอทางแล้วแซงขวาขึ้นไปด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ปรากฎว่าผู้ขับขี่ได้หักหน้ารถเลี้ยวขวาขวางถนนอย่างกระทันหัน แล้วค่อยหันมามอง สรุปได้ว่าไม่มีทางที่จะพ้นจากการชนไปได้แน่นอนจึงตัดสินใจบิดคันเร่งพารถกระโจนลงจากถนนไปจอดอยู่กลางทุ่งนาที่ต้นข้าวกำลังสุกเหลืองอร่าม คนแก่ลงมายกมือไหว้ขอโทษบอกกำลังจะเลี้ยวรถกลับ และไม่ได้ยินเสียงแตร สุดท้ายต้องให้แกมาช่วยกันเข็นรถขึ้นหน้ากากแตกยับเยิน ข้อมือกับข้อศอกและหัวไหล่ซ้ายเคล็ดบวมไปทั้งอาทิตย์เพราะรับแรงกระแทกกับคันนาไว้เต็มๆ 
  • ครั้งที่ 2 รถพ่วงสิบแปดล้อแซงขึ้นหน้าไปแล้วหักพวงมาลัยเข้าซ้าย โดยไม่ใยดีกับไอ้ส่วนที่พ่วงอยู่ข้างหลัง ปรากฎว่ามันกระแทกตกจากไหล่ทางลงไปวิ่งอยู่กลางทุ่งนาก่อนจะไปหัวทิ่มอยู่ที่คูน้ำตื้นๆ แล้วมันก็วิ่งจากไป 
  • ครั้งที่ 3 มองเห็นหมายืนอยู่กลางถนนในระยะห่างประมาณ 200 เมตรจึงชะลอความเร็วลงเหลือประมาณ 50 กม./ชม.พอเห็นมันเดินข้ามไปถึงขอบถนนแล้วจึงเร่งความเร็ววิ่งไป ปรากฏว่ามันเปลี่ยนใจกระทันหัน กลับตัววิ่งย้อนกลับเข้ามาทันที คราวนี้ทั้งคน ทั้งรถ ทั้งหมา ก็กลิ้งไปด้วยกันเกือบ 20 เมตร พอลุกขึ้นมาได้มันยังเสือกมาเห่าเสียงลั่น มิหนำซ้ำเจ้าของหมายังมาด่าเราซะอีก ได้แต่นอนกอดรถมองมันตาปริบๆ  ถ้ามีปืนติดมือไปคงไล่ยิงทั้งหมาทั้งเจ้าของนั่นแหละ 
  • ครั้งที่ 4 เมาเต็มสภาพแต่ขับขี่กลับมาจากงานเลี้ยงระยะทางประมาณ 60 กว่ากิโล พอมาถึงหน้าประตูเข้า รพ.ค่าย ทหารโบกให้จอดตรวจบัตร พอล้อหยุดหมุน ขามันอ่อนค้ำพื้นไม่อยู่ รถหนักๆ ก็เลยเสียสมดุลย์ล้มโครมกองอยู่ตรงนั้น ปรากฎว่ามือเสือกไม่ยอมปล่อยแฮนด์รถเลยกระแทกพื้นปูนซีเมนต์แตก ลำบากทหารยามต้องหามเข้าไปเย็บซะ 4 เข็ม 
  • ครั้งที่ 5 ขับไปหาหมอที่ รพ.ค่ายสุรสิงหนาท ตามปกติก็ระยะทางประมาณ 70 กม.เสร็จธุระก็เดินทางกลับในช่วงบ่ายๆ จำได้ว่าผ่านวัฒนานครมาแล้ว ก็ประมาณครึ่งทางเห็นจะได้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อล้อหน้าชนกับประตูโรงรถที่บ้าน แสดงว่าช่วงระยะทางกว่า 30 กม.ก่อนถึงบ้านเราขับขี่รถมาด้วยสัญชาติญานและความเคยชินเพียงอย่างเดียว แต่ไร้สติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง เพราะไม่สามารถนึกออกเลยว่ากลับมาถึงบ้านได้อย่างไร

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา รถคันนี้จึงถูกจอดไว้สงบนิ่งไม่ได้ถูกจับต้องอีกเลย แม้แต่ครั้งเดียว


กล้วยหอมทองต้นนี้คุณน้องเมียขุดหน่อมาให้จากบ้านเดิมของแม่ยาย ก็มีมาหลายหน่อแล้วล่ะ แต่ก็เสียชีวิตหมดอาจจะเพราะขุดมาแต่ต้น แต่ไม่ได้เอารากมาฝากด้วยน่ะครับ แล้วมันจะมีมือที่ไหนไปหากินล่ะ มีต้นนี้ที่มีรากติดมานิดหน่อยและเป็นต้นที่เล็กที่สุด จึงตัดสินใจประหารชีวิตเสียด้วยการตัดศีรษะออกจนเหลือแค่ตอคืบกว่าๆ ประคบประหงมบำรุงน้ำไม่ให้ขาดระยะจนมันแทงยอดขึ้นมาจนได้ และหลายเดือนต่อมาจึงมีสภาพความสมบูรณ์ดังที่เห็นในภาพ แล้วยังแถมด้วยการแทงหน่อเล็กๆ ขึ้นมากระหนาบรอบด้านอีก 3 หน่อ เป็นของแถม

สรุปได้ว่าชาตินี้คงไม่ต้องซื้อกล้วยหอมกินอีกต่อไปแล้ว เหมือนกับผลผลิตอีกหลากหลายชนิดที่กำังเติบโตอยู่รอบบ้าน บางชนิดก็ได้ผลผลิตมาแล้ว บางชนิดยังคงรอวันเวลาที่เหมาะสมอยู่

ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้แหละ

ก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกกิเลสหนาตัณหาหนักมันจะดิ้นรนกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์ไปทำอะไรกันนักหนา ทั้งๆ ที่กระเพาะอาหารก็เท่าๆ กัน กินแล้วก็ขี้ออกมาเหมือนกัน 

ที่สำคัญก็คือ ถึงมันจะรวยล้นฟ้า 
มันก็ตายในที่สุด
เหมือนกับคนจน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า