ชีพจรโรค



ระยะนี้เริ่มมีความรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ที่กังวลมากที่สุดก็มีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คืออาการเครื่องดับอย่างกระทันหัน แม้แต่เวลาที่กำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์หนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจในเวลากลางวันแสกๆ มันเหมือนกับการเกิดจินตนาการซ้อนทับขึ้นมาปนเปกับเรื่องที่กำลังเขียนอยู่ ทำให้เกิดสมาธิวอกแวกปล่อยใจไหลเรื่อยไปตามเรื่องที่แทรกซ้อนขึ้นมา และอาการไหลเรื่อยนั้นเป็นไปโดยไม่เจตนาและไม่มีความคิดที่จะหยุดยั้งมันเลย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เรื่องราวที่กำลังพิมพ์อยู่มีข้อความค้างคาอยู่อย่างนั้นเอง ขณะที่เวลาหล่นหายไปในระหว่างนั้นถึงสองชั่วโมงกว่าๆ ครับ ผมนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้เองตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ที่สติวูบหายไปโดยไม่รู้ตัว เป็นอาการเครื่องดับอย่างถาวรทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีทุกประการ และอยู่ในระหว่างการทำงานอยู่เสียด้วย เป็นคำสั่งปิดเครื่องของร่างกายโดยตรง แต่เจ้าของตัวตนกลับไม่ได้รับการแจ้งเตือนแม้แต่น้อย

ผมหลับตานึกถึงภาพของตัวเอง หากว่าเกิดอาการ "เครื่องดับ" ขณะที่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ด้วยความเร็วประมาณ 80 - 110 กม./ชม.ในการเดินทางทุกครั้ง ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดับ มันคงไม่เท่าไหร่นักถ้าต้องจูงมันเดินทางต่อ แต่ทว่าหากเป็นเครื่องยนต์ของร่างกายมันดับไปล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น?

เมื่อสองปีก่อนนี้เคยมีอาการคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เพราะใจมันล่องลอยไปเรื่อย มือก็บิดเร่งความเร็ว เท้าก็แตะเบรค เปลี่ยนเกียร์ อีกมือกำครัชท์ นำพารถวิ่งไปตามความเคยชิน และรถมาถึงบ้านได้ยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกตัวก็อีตอนล้อหน้ามันทิ่มกับประตูโรงเก็บรถนี่เอง พอมานั่งนึกทบทวนสถานการณ์ สรุปได้ว่ารวมระยะทางที่สติหลุดลอยไปก็ยาวกว่า 30 กม. และก็จำไม่ได้ว่าไปเฉี่ยว ชน หรือเหยียบอ่างกะปิใครมาบ้างก็ไม่รู้ แล้วก็หลุดรอดมาจากใต้ท้องรถสิบแปดล้อหลายต่อหลายคันได้ยังไง?

ยังมีวันเวลาบนท้องถนนอีกหลายรอบที่ต้องฟันฝ่า แต่ก็เชื่อว่าคงจะไม่เกิดอาการเครื่องดับไปง่ายๆ เหมือนตอนอยู่กับบ้านแน่นอน เพราะทุกครั้งที่ขับขี่รถก็มักจะตั้งสติและก็ย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า "ผล ย่อมจะเกิดมาจาก เหต" ดังนั้น ถ้าสามารถเหนี่ยวรั้งสติตัวเองไว้ให้ตั้งมั่น ก็จะต้องไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นมา ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไปตามความจำเป็น ส่วนร่างกายของเราผ่านการใช้งานตรากตรำมานาน หากอยากพักผ่อนก็น่าจะหาเวลาที่เหมาะสมตามที่เรากำหนด ไม่ใช่ว่าจะปฏิวัติ รัฐประหาร โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ถือว่าขัดนโยบายเจ้าของประเทศอย่างร้ายแรง

เอาเถอะ ถึงจะต้องเสี่ยง แต่ก็จำเป็นเพราะต้องเดินทางไปพบแพทย์ตามกำหนดนัดทุก 2 เดือนเพื่อตรวจเลือด ตรวจร่างกาย และรับยามากินเล่นตามเวลา เนื่องจากร่างกายมันคงชำรุดสึกหรอไปแยะแล้ว ต้องซ่อมแซมมันไปตามสภาพให้สามารถใช้งานได้ต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง

ก็เท่านั้นเอง

แต่บอกตรงๆ ว่าอยากมีปืนซักกระบอกน่ะ รำคาญจริงๆ กับไอ้พวกที่มีเงินมาซื้อรถยนต์คันโตๆ แต่ไม่มีปัญญาซื้อหนังสือสมบัติผู้ดีมาอ่าน หรือมีปัญญาซื้อใบขับขี่แต่ไม่เคยรับรู้กฎจราจร ทำไมไอ้พวกนี้มันไม่ยอมรับรู้บ้างเลยนะว่า คนขับขี่รถจักรยานยนต์น่ะ ไม่ได้มีแต่พวกเด็กวัยรุ่นเหลือขอเท่านั้น แต่คนธรรมดาที่ยากจนก็ยังมีสิทธิที่จะขับขี่รถจักรยานยนต์ไปมาบนถนนเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเคารพกฎจราจรมากกว่าเสียอีก ขึ้นถนนใหญ่ทีไร ขี่ชิดขอบทางจนตัวลีบแทบจะตกขอบถนน เพราะที่สำคัญที่สุดก็คือ

กลัวตายเหมือนกันโว้ย

หากจะขับรถบนถนนน่ะ ขอร้องให้พยายามมองคนขับขี่รถจักรยานยนต์ข้างๆ ทางด้วยว่า นั่นน่ะคนเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่หมาขี้เรื้อนข้างถนนที่จะได้ตะบึงเหยียบมันให้แบนซะ หรือไม่ก็เบียดมันกลิ้งลงข้างทางทุกครั้งไป

โกรธเป็นเหมือนกันนะโว้ย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

ลมหายใจ