บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2013

บ่นอยู่หลังบ้าน

รูปภาพ
บุคคลที่เห็นอยู่ในภาพข้างบนนี้ ขอรับรองว่าไม่ใช่อดีตผู้นำเผด็จการของประเทศใดในโลกนี้เด็ดขาด และก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของบทความแม้แต่น้อย เพียงแต่นำมาประดับไว้ดูเล่นเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วช่วงเวลานี้เป็นฤดูกาลของการลงไปไล่เก็บกวาดวัชพืชที่อุดมสมบูรณ์มาจากฤดูฝนที่ผ่านมา ทำให้บริเวณบ้านทั้งด้านหน้าด้านหลังเขียวขจีไปหมด และหน้าบ้านฝั่งที่ยังไม่ได้ดำเนินการวางผังเมือง ตอนนี้หญามันสูงเกือบท่วมหัวเสียแล้ว เห็นแล้วก็ท้อเหมือนกันเพราะพื้นที่เกือบ 4 ไร่ ลุยด้วยมือเพียงคู่เดียวที่เริ่มจะอ่อนล้าตามเลข พ.ศ.ที่เพิ่มขึ้น เหตุผลที่ละเลยต่องานประจำก็เพราะใช้เวลาในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องชนิดชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อติดตามสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ในทุกช่องทางของข่าวสาร และก็ติดตามดูพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของนักการเมือง นักวิชาการ สถาบันต่างๆ ทางการเมือง การปกครอง ซึ่งก็มาจากการปะกาศยุบสภาของรัฐบาลนั่นเอง ที่จะมีผลติดตามมาหลายประการ  อย่างแรกก็คือ การกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2557 ที่จะกลายเป็นปมปัญหาสำคัญของพรรครั

น้ำท่วมครับ

รูปภาพ
ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 2 ตุลาคม 2556 เวลา 0831 น. ถายหลังจากการตกหนักติดต่อกันหลายๆ วันจากมรสุมลูกแล้วลูกเล่า (รวมไปจนถึงมรสุมทางการเมืองด้วย) เป็นพื้นที่หลังบ้านบริเวณใต้ต้นมะขามยักษ์ซึ่งปกติแล้วจะถูกถากถางและกวาดใบไม้นำไปทิ้งจนเกลี้ยงเกลา ใช้เป็นสถานที่สำหรับการนั่งพักผ่อนในเวลากลางวัน กิ่งมะขามเหล่านี้ก็จะถูกตัดแต่งจนสูงพ้นศีรษะ แต่วันนี้มันตกห้อยย้อยลงมา เนื่องจากกำลังออกฝักระลอกใหม่และกำลังใหญ่ทำขนาดให้ได้มาตรฐานเป็นผลให้กิ่งเล็กกิ่งน้อยรับน้ำหนักไม่ไหว พากันลู่กิ่งรับน้ำหนักจนสุดความสามารถ บางกิ่งลงมาแตะพื้นดินก็ต้องใช้ไม้ค้ำไว้เป็นการชั่วคราว จะตัดตอนนี้ก็เสียดายน่ะ รอไว้ก่อน น้ำที่เห็นน่ะไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรอกครับ พอหมดฝันซักวันสองวันมันก็จะแห้งไปเองแหละ ยิ่งถึงฤดูหนาว ฤดูร้อนยิ่งไม่มีปัญหา บริเวณนี้จะร่มรื่นที่สุดในพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงพื้นที่อื่นๆ ในอำเภอเดียวกันนะครับเพราะทราบว่าราบเป็นหน้ากลอง คือ ในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปจากถนนใหญ่ส่วนมากจะเป็นที่ลุ่ม ระดับน้ำที่ท่วมก็ประมาณครึ่งบ้านเท่านั้นเอง(ชั้นบนนะครับสำหรับบานสองชั้น) ส่วนบ้านบางหลังก็สูญหายไปจา

วัฏจักรสงสาร

รูปภาพ
เมื่อหลายวันก่อนต้นสักที่ปลูกเอาไว้ประมาณ 12 ปีเห็นจะได้ถูกลมกรรโชกแรงสะบัดพัดไม่กี่อึดใจ ก็เป็นอันล้มครืนลงมาอย่างสง่างามโดยไม่ยอมลงไปนอนกับพื้นให้นับ 10 ง่ายๆ เหมือนนักมวยไทยยุคปัจจุบัน แต่กลับอาศัยแรงหน่วงของการตกกระทบพื้นจากการกวาดกิ่งก้านหาที่ผ่อนน้ำหนักตัวเอง ด่านแรกเป็นต้นมะม่วงอายุ 5 ปีเศษด้านซ้ายมือกิ่งมะม่วงที่ยื่นออกมาขวางทางมีขนาดเท่าน่องถูกฉีกออกจากต้นอย่างสะดวก แต่ส่วนยอดของต้นสักนั้นกลับพบกับแรงต้านทานระดับสุดยอดที่สามารถรองรับน้ำหนักนับตันได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะเป็นต้นมะขามยักษ์อายุเท่ากับต้นสักเพราะเติบโตมาพร้อมกัน นั่นคือ ประมาณ 12 ปีช่วงก่อนการปลูกบ้านหลังนี้ ความเสียหายที่มะขามยักษ์ได้รับคือ ต้องสูญเสียกิ่งใหญ่ขนาดเท่าแขนไปเพียงกิ่งเดียวเนื่องจากน้ำหนักทั้งหมดของต้นสักถ่ายลงมาที่กิ่งใหญ่ที่สุดของส่วนยอดแล้วก็ฟาดลงมาตรงง่ามของกิ่งมะขามทำให้เกิดความเสียหายตรงจุดนั้น แล้วน้ำหนักทั้งหมดก็ถูกกระจายออกไปตามกิ่งก้านสาขาทำให้กิ่งมะขามหลายๆ กิ่งสามารถกระจายน้ำหนักรองรับแรงกดลงมาของต้นสักได้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ไม่เกิดความเสียหายอะไรเพิ่มเติม ช่วงเวลาต่อไป

วิถีธรรมชาติ

รูปภาพ
ภาพนี้เป็นทิวทัศน์หลังบ้านด้านทิศตะวันออกภายหลังจากการรองรับความชุ่มฉ่ำจากน้ำฝนมาหลายเพลา ผลที่ติดตามมาคือวัชพืชหลากหลายชนิดที่เติบโตขึ้นมารอรับการลงแรงถากถางครั้งใหญ่ จากคนขี้โรคซะด้วย เวรกรรมแท้ๆ แต่มันก็เป็นภาระที่ต้องจำยอม เพราะทั้งบ้านก็มีอยู่คนเดียวที่ต้องทำและทำมาหลายปีแล้ว เนื่องจากท่ามกลางความเขียวขจีเหล่านี้ มีทั้งต้นมะนาว ต้นข่าแดง ต้นมะม่วง ต้นลำไย ต้นขนุน ต้นชมพู่ ต้นกระท้อน ต้นกล้วยหอม ต้นสัก ฯลฯ ที่กำลังเจริญเติบโตอย่างช้าๆ  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นคงต้องรอจนกว่าจะหมดฝนแผ่นดินเริ่มแห้งแล้วนั่นแหละถึงจะได้ฤกษ์ได้ยามลงจอบถากถางกัน เพราะระยะนี้ดินมันแฉะไปหมดทำอะไรไม่สะดวกเอาเสียเลย (ขี้เกียจด้วยแหละเป็นประการสำคัญ) ขอนอนพักผ่อน ดูหนังฟังเพลงไปตามอัธยาศัยก่อนซักเดือนสองเดือน ค่อยมาว่ากันทีหลัง เมื่อหลายเดือนที่แล้วมีลุฏหมาตัวนึงเดินเปะปะมานอนอยูข้างๆ บ้านๆ พอเห็นหน้าก็วิ่งหายเข้าป่าไปทุกที จนมาระยะหลังมันกล้าพอที่จะชำเลืองมองก่อนจะวิ่งหลบไปห่างๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นหลังจากที่แม่บ้านเทเศษข้าวใส่จานไว้ให้ที่หลังบ้าน แม้จะไม่เป็นประจำทุกวัน แต่เจ้าหมาตั

เกษตรกรอาชีพ

รูปภาพ
วันนี้เดินเตร่ไปข้างบ้านเพราะมองเห็นข้าวโพดทั้งฝักกองสุมกันอยู่ใต้ถุนบ้านเต็มพื้นที่สูงถึงชั้นบนสอบถามได้ความว่าทางไซโลใกล้บ้านที่่เคยรับซื้อเขาตั้งราคารับซื้อไว้ที่ 3.50 บาทเท่านั้น ทั้งๆที่เมื่อปีก่อนเคยให้ราคาถึง 6 บาท จึงต้องเอามากองไว้ที่บ้านเพือรอให้ราคามันปรับตัวขึ้นอีกซักนิดพอที่จะทำกำไรได้บ้าง เนื่องจากแถวต่างจังหวัดราคาจะตกอยู่ประมาณ 5 บาท ถึง 5 บาทกว่าทั้งสิ้น ส่วนเหตุผลสำคัญก็คือในประเทศเพื่อนบ้านก็มีการปลูกข้าวโพดมากมายและพากันขนข้ามชาติมาขายในประเทศเราอย่งไม่ขาดสายเพราะได้ราคาดีกว่าราคาภายในประเทศตนเอง เคราะห์กรรมกำลังมาเยือนเกษตรกรไทยอย่างเป็นระบบ เริ่มจากความล้มเหลวในการช่วยเหลือชาวนา การกดราคายางให้ตกต่ำ การกดราคาข้าวโพด และแน่นอนว่าราคาผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดจะต้องพากันดิ่งลงเหวทุกเรื่องโดยปราศจากความสนใจใยดีของรัฐบาล ที่มุ่งหน้าตะแบงผลักดันโลกอุตสาหกรรมอย่างไม่ลืมหูลืมตา เท่ากับเป็นการช่วยเหลือคนที่รวยอยู่แล้วไม่กี่คนให้พากันกอบโกยร่ำรวยต่อไป โดยทอดทิ้งให้คนจนกว่า 40 ล้านคนในประเทศนี้ให้ดำดิ่งลงสู่ความยากจนตลอดชาติอย่างถาวร เพราะการดำเนินนโยบายของประเทศอ

รสชาติของชีวิต

รูปภาพ
ภาพนี้ถ่ายไว้หลังฝนตกหมาดๆ ในระยะประชิดเพราะต้องการให้มองเห็นความเปรี้ยวที่สัมผัสได้จากสีสันของดอกมะขามยักษ์ช่อนี้ เป็นช่วงเวลาของการผลิดอกออกฝัก แม้ว่าบนต้นยังคงมีฝักแก่ๆ ที่เหี่ยวแห้งคาต้นอยู่เกลื่อนกลาดเพราะไม่สามารถตะปีนป่ายหรือสอยผลผลิตรุ่นที่แล้วลงมาได้ทั้งหมด ประจวบกับฝนปีนี้มาเร็วกว่าเคยทำให้ฝักแก่ๆ เหล่านั้นเริ่มเน่าเสียเมื่อถูกฝน และก็เริ่มต้นกระบวนการแตกหน่อผลิดอกออกมาจนพราวไปทั้งต้น แน่นอนล่ะว่าโอกาสนี้เป็นจังหวะเวลาสำหรับอาหารประเภทต้มยำพุงปลาช่อนกับยอดมะขามอ่อนหรือดอกมะขามสดๆ แต่ก็ไม่ควรละเลยปลาบู่ตัวโตๆ หรือปลากดตัวอวบๆ ลงไปเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวให้กับน้ำต้มยำหม้อนี้ แล้วก็ตามด้วยพริกแห้งทอดกรอบมาบิใส่ตามลงไปทีหลัง และก็ไม่แปลกถ้าหากจะเปลี่ยนจากปลาไปเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อวัว ตามความถนัดของตนซึ่งก็จะไม่ได้ทำให้รสชาติของดอกมะขามสดๆ เหล่านี้สูญเสียเสน่ห์แห่งความเปรี้ยวลงไปได้ นี่แหละครับรสชาติของชีวิต ต้นมะขามยักษ์ต้นนี้เพียงต้นเดียวที่มีอยู่คู่บ้านมาตั้งแต่เริ่มการถมดินปลูกสร้างบ้านก็เริ่มปลูกมะขามต้นนี้มาจากเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว กาลเวลาผ่านไป 10 ปี

นกไร้รัง

รูปภาพ
เมื่่อต้นเดือนที่ผ่านมามีพายุฝนรุนแรงหนักหน่วงจนเกินความต้องการของชาวนาไปมากมาย เพราะช่วงนี้ชาวนาต้องการแค่น้ำฝนมาลงในนาข้าว แต่พายุทำเอาต้นไม้ใหญ่หลายต้นถึงกับถอนรากถอนโคน และที่บ้านก็โดนรางวัลใหญ่เข้าเหมือนกัน นั่นคือซุ้มเฟื่องฟ้าที่บรรจงเอาไม้ไปทำคานรับกิ่งก้านให้เป็นร่มเงาที่หน้าบ้านเกิดสะบัดลากเอาคานไม้ล้มระเนระนาด มิหนำซ้ำยังลากเอาต้นเฟื่องฟ้าเอนราบลง ส่งผลให้ท่อนเหล็กที่ตั้งเป็นแกนอยู่พับงอลงไปด้วย หมดหนทางเยียวยา เนื่องจากน้ำหนักที่มากจนเกินกำลังที่จะยกขึ้นมาตั้งตรงเหมือนเดิม ทำให้ต้องตัดใจ แล้วก็ต้องตัดยอดมันออกหมดทั้งต้น ลูกนกเขาน้อยตัวนี้คือเหยื่อโดยไม่เจตนาเพราะรังของมันก็อยู่บนต้นเฟื่องฟ้าทำให้มันตกลงมาหมกอยู่ในกอหญ้าจนถึงเช้าหนังหัวเป็นแผลฉีกขาดถึตาข้างหนึ่ง คาดว่าน่าจะโดนหนามเฟื่องฟ้าครูดเอาหนังเปิดออกได้เลือดพอสมควร จึงรับหน้าที่เอามารักษาพยาบาลเหมือนกับที่เคยทำมาก่อนเมื่อปีที่แล้วในกรณีคล้ายๆ กัน โดยใส่กล่องไว้ในบ้านพอเช้าก็เอาออกไปรอให้พ่อแม่มันเอาอาหารมาป้อน แต่ลูกนกตัวนี้สงสัยจะทำบุญมาน้อย เผลอแวบเดียวเท่านั้นเอง พอออกไปดูก็เห็นแต่เศษขนเศษเลือดเศษเนื้อเ

สภาพบังคับ

รูปภาพ
ที่เห็นอยู่ในภาพข้างบนนี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่ามันคือขวดเบียร์แต่อย่าไปรู้เลยนะว่ายี่ห้ออะไร ถูกนำมาก่อเรียงตัวกันในแนวนอนสูงประมาณ 80 เซ็นติเมตร และไม่ได้ใช้ปูนซีเมนต์หรอกครับเป็นเพียงดินชนิดหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯ เค้าเอามาแจกชาวบ้าน นัยว่าแก้อาการเป็นกรดของดินน่ะครับ แต่มันมีอาการแข็งตัวเหมือนกับปูนขาว(ซึ่งละลายน้ำได้) ก็เลยเอามาเป็นวัสดุยึดเหนี่ยว เพราะขวดน่ะมันผิวเรียบลื่นไม่ยึดเกาะอะไรอยู่แล้ว หากนำมาวางเรียงในชองบังคับทั้งด้านข้างด้านล่างด้านบน ก็ไม่น่าจะหนีรอดไปได้ กลายสภาพเป็นผนังไปโดยปริยาย ส่วนผลสรุปน่ะอย่าไปพูดถึงเลย เพราะกำลังคิดอยู่ว่าอีกซักปีสองปีค่อยไปทำต่อ ตามอารมณ์น่ะครับท่านจะเอาอะไรมาแน่นอน หากมีใครกำลังชมละครโทรทัศน์อยู่กรุณาอย่าอ่านต่อนะครับ เพราะเราอาจจะขัดใจกันในวันนี้ได้เพราะเนื้อหาในละครอาจจะเป็นเพมือนกับชีวิตของคนทั่วไป(ยกเว้นตัวผม) แต่เสียงพูดวี๊ดว๊ายกรี๊ดกร๊าดของเหล่าดาราจากบทละครนี่ซิครับ กำลังสร้างอารมณ์ร้อนเร่าเหมือนกับฮีโร่ที่กำลังจะแปลงร่างให้เกิดขึ้น เพราะมันบาดลึกในความรู้สึกที่สุด มันไร้สาระน่ะครับ่ท่าน ถ้าเป็นในชีวิ

ใจลอย

รูปภาพ
ยังคงจำได้ถึงวินาทีที่ตัดสินใจเขียนใบลาออกจากราชการ ทั้งที่ยังมีเวลาราชการเหลืออยู่อีก 10 ปีเต็ม มันเป็นความรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ เบื่อหน่าย ต่อวิธีการทำงานของระบบโดยรวม ต่อความเป็นไปของสังคมที่สับสนวุ่นวาย ผู้คนแตกแยกทางความคิด ส่วนหนึ่งแห่ไปตามคำปลุกปั่นยั่วยุ นักการเมืองปลุกเร้าผู้คนให้คล้อยตามตนเพียงเพื่อหวังในผลประโยชน์ที่จ้องจะกอบโกยกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประชาชนส่วนหนึ่งก็หลงไหลไปกับประชานิยมที่เห็นผลทันตาโดยไม่ใส่ใจต่อเหตุที่มีมา และผลที่จะตามมา อำนาจ เป็นก้าวแรกของความขาดสติ ที่ผู้คนบางส่วนแสวงหาเพื่อนำไปสู่สิ่งอื่นๆ เช่น ตำแหน่ง หน้าที่ ทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งในกรณีของคนบางคนที่มีพร้อมอยู่แล้วในทุกๆ สิ่ง และมีมากมายจนประเมินค่าไม่ได้ แต่ก็ยังคงแสวงหาต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเพราะกิเลสที่เป็นตัวกำหนดและชี้นำให้ไขว่คว้ามาให้ได้  สิ่งนั้นคือ ความเป็นคนที่เหนือกว่าผู้อื่นในทุกด้าน จะต้องไม่เป็นรองผู้หนึ่งผู้ใดในแผ่นดิน จะต้องเป็นเหมือนเทพเจ้าในสายตาของผู้คนทั่วไป โดยลืมนึกไปว่า การเป็นเจ้านายคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเป็นเจ้านายตัวเองนี่ต่างหากที่ยากยิ่ง

โลกกว้างแต่ทางตัน

รูปภาพ
จากการสำรวจสถิติอย่างไม่เป็นทางการประมาณการว่าในสิ้นปี 2555 มีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีทั่วประเทศประมาณ 3 แสนคน (ทั้งนี้ไม่ได้ทำการสำรวจรวมไปถึงบรรดาผู้ที่ "แอบจบ" ซึ่งมีอยูเป็นจำนวนไม่น้อยจากสถาบันการศึกษาทั้งของเอกชนและของรัฐ ... คิดเอาน่ะว่ามีอยู่จริงทั้งที่ใจอยากจะคิดว่ามันไม่มี ไม่มี แต่ไม่รู้เป็นไง ไม่อยากเชื่ออย่างนั้นเลย) ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะมีอยู่ประมาณ 2 แสนคนที่จะต้องเป็นบัณฑิตตกงานเหมือนกับที่มีการตกงานสะสมไว้นับล้านตั้งแต่รุ่นที่จบเมื่อหลายๆ ปีก่อนหน้านี้ ถือได้ว่าเป็นสภาพการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วกับสังคมโลกยุคปัจจุบัน สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการตกงาน อาจจะมาจากข้อจำกัดของคุณสมบัติผุ้สมัครงานที่จะต้องมีการระบุข้อแม้ที่ว่า มีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่า 3ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่ความใหญ่ของบริษัทนั้นๆ บวกกับเป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการบริษัทอีกด้วยในการเลือกรับตัวบุคคลที่ต้องพิจารณาบุคคลในแวดวงของตนก่อนเป็นลำดับแรก  ดังนั้นจึงมีการแห่แหนเข้าไปสู่ระบบงานราชการที่แน่นขนัดอยู่แล้ว(และก็ยากเย็นยิ่งนักในการฝ่าแนวป้องกันของลิ่วล้อในทางการเมืองบร

คุณค่าหรือราคา

รูปภาพ
โมก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Wrightia religiosa Benth.) เป็นดอกไม้ มีลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว มี 3-5 กลีบ ใบมีขนาดเล็ก ใบเดี่ยว เนื้อใบบางรูปรี หรือรูปหอกกว้าง 0.8-2.0 ทำการขยายพันธุ์โดยการปักชำ หรือ เพาะเมล็ด โมกยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกดังนี้ ปิดจงวา (เขมร สุรินทร์) โมกซ้อน (กลาง) โมกบ้าน (กลาง) และ หลักป่า (ระยอง) ลักษณะทั่วไป โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีนำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆสีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาด ประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีขี้เรียงอยู่จำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร การปลูก การปลูกมี 2 วิธี การปลูกในแปลงปลูกเพื่อ

ธรรมชาติกับชีวิต

รูปภาพ
นกเขาตัวนี้เห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ยืนยันว่าจำได้แม่นยำเพราะเมื่อครั้งมันยังเป็นเด็กน่ะ มันเติบโตอยู่บนต้นมะพร้าวหน้าบ้านซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 10 เมตรวันหนึ่งทางมะพร้าวที่พ่อแม่ของมันทำรังไว้เริ่มเหี่ยวเฉาหมดอายุหลุดร่วงลงมา รังของมันที่อยู่บริเวณกาบด้านโคนก็หลุดร่วงตามลงมาโดยที่มีตัวมันร่วงตามลงมาด้วย โชคดีที่ด้านล่างเป็นป่าหญ้าสูงเกือบถึงเอว ทำให้รังของมันตกลงไม่ถึงพื้นดิน ตัวของมันในรังก็เลยไม่ได้รับบาดเจ็บ นับว่าป่าหญ้าที่ขี้เกียจถากถางได้สร้างประโยชน์ไว้เหมือนกัน วันนั้นกำลังเดินเล่นอยู่จึงเข้าไปลากทางมะพร้าวนั้นไปทิ้งด้านหลังบ้าน พอกลับมาอีกครั้งเพือเก็บเศษเล็กเศษน้อยก็เห็นนกเขาสองตัวกำลังกระโดดโลดแล่นไปมาอยู่บริเวณนั้นพร้อมกับส่งเสียงเซ็งแซ่ พอเดินเข้าใกล้มันก็บินโฉบผ่านหัวสลับกันไปมา ทำให้เกิดความสงสัยแล้วก็มองไปเห็นรังของมันที่ตกค้างอยู่บริเวณกอหญ้ามีลูกนกตัวเล็กๆ ขนอ่อนๆ กำลังชูคอร้องอยู่ จึงรู้เหตุผลของนกสองตัวนั้นว่าคงเป็นนกเขาสองผัวเมียที่มาคอยปกป้องลูกของมัน ซึ่งถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น คงไม่นานก็จะมีหมาหรือแมวมาคาบไปรับประทานเป็นแน่เพราะพื้นที่นั้นเป็นทางผ่านข

ปลีกวิเวก

รูปภาพ
พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือรู้จักในนาม พุทธทาสภิกขุ (27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 — 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536) เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2449 เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ 20 ปี ที่วัดบ้านเกิด จากนั้นได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค แต่แล้วท่านพุทธทาสภิกขุก็พบว่าสังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้เลย ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับมาปฏิบัติธรรมที่อำเภอไชยา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านอีกครั้ง พร้อมปวารณาตนเองเป็น พุทธทาส เนื่องจากต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด ผลงานเด่นของทาสพุทธทาสคืองานหนังสือ อาทิ หนังสือพุทธธรรม, ตามรอยพระอรหันต์ และคู่มือมนุษย์ และเป็นสงฆ์ไทยรูปแรกที่บุกเบิกการใช้โสตทัศนูปกรณ์สมัยใหม่สำหรับการเผยแพร่ธรรมะ และท่านมีสหายธรรมคนสำคัญ คือ ปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานรังสฤษฎ์ และ ท่าน บ.ช. เขมาภิรัตน์ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ซึ่งท่านสามารถเข้าไปอ่านประวัติของท่านโดยละเอียดได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/

เมาข้ามปี

รูปภาพ
เมื่อ 31 ธันวาคม 2555 มีญาติผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยียนที่บ้าน รวม 3 ครอบครัว ทั้งพี่ใหญ่ นายวิมล เพชรรัตน์ กับครอบครัว และน้องเล็ก นายภักดี เพชรรัตน์ กับครอบครัว ทั้งหมดก็แค่ 10 กว่าคนทำเอาบ้านยิ่งแคบลงจนหาที่นอนไม่ได้ เนื่องจากตอนออกแบบน่ะเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับคน 3 คนเท่านั้น ทำให้ประชากรประเภทแขกบางส่วนต้องไปกางเต๊นท์นอนหลังบ้าน และบางส่วนก็จำใจต้องนั่งจนสว่างเพราะไม่มีที่นอน (เหตุผลที่ถูกต้องก็คือ ต้องการนั่งกินเหล้าให้เมาข้ามปีน่ะเอง) ซึ่งคนจำพวกนี้ก็คือผู้ชาย 3 คนในภาพนี้ ก็ไม่ใช่ภาพที่จะหาดูได้ง่ายนักเนื่องจากแต่ละคนต่างก็มีการงานที่จะต้องทำอยู่เป็นประจำ ยกเว้นเจ้าของบ้านที่ยืนพุงกางอย่ ดังนั้นการมาเยือนในช่วงเวลาสั้นๆ จึงเป็นความอบอุ่นของครอบครัวอย่างแท้จริง และเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีทางที่จะหวนคืนกลับมา เหมือนกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไปได้หอบเอาความสุขในอดีตไปด้วยคงเหลือไว้แต่ภาพถ่ายและความทรงจำที่ดีเท่านั้น ภาพนี้คือสายเลือด เพชรรัตน์ ของ 3 ครอบครัวข้างบน ที่จริงแล้วยังคงเหลือน้องส้มอีกคน ลูกสาวของนางอุษา ชักนำ อยู่กับพ่อแม่ที่รังสิตน่ะไม่ได้มาร่วมพักผ่อนที่ อำเภอวังน้ำเย็น จังห