วันรวมญาติ ?

นายโสรัตน์(โจ้) อินทศรี

เมื่อ 3 ตุลาคม 2555 ก็เป็นอันต้องมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไกลออกจากบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่ลาออกจากราชการมา เนื่องจากหลานชายคนหนึ่งเป็นลูกชายของน้องสาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะที่ไปทำงานกับพ่อในช่วงปิดเทอมที่ จ.นครสวรรค์  ก็จำเป็นต้องรบกวนอาศัยความช่วยเหลือจาก จ.ส.อ.เสนาะ เที่ยงธรรม ลำบากขับรถส่วนตัวมาจาก อ.อรัญประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ติดปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับดูแลลูกน้องอีกมากมายทำงาน ออกมารับที่ อ.วังน้ำเย็น ก่อนจะเดินทางไปพักที่บ้านของน้องสาวอีกคนที่ คลองสาม จ.ปทุมธานี ถึงที่หมายเอาตอนเกือบห้าทุ่ม เมื่อมาส่งแล้วก็ต้องเดินทางกลับไปในช่วง ตี 1 เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อที่ อ.อรัญประเทศ ซึ่งไปถึงที่หมายเอาเกือบๆ ตี 4

สำหรับ จ.ส.อ.เสนาะ เที่ยงธรรม นั้นเคยเป็นผู้ร่วมงานกันมาก่อนนานมากแล้ว และจำได้ว่าเคยได้รับความช่วยเหลือมาหลายครั้งหลายหน ในเรื่องเร่งด่วนแบบนี้ ตั้งแต่งานศพ คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ งานอื่นๆ ทั้งส่วนตัวและงานของทางราชการ จนมาถึงงานนี้เพิ่มมาอีก 1 งาน รวมเวลาเกือบ 20 ปีเข้าไปแล้วที่ได้รับความช่วยเหลือมาโดยตลอด และหลังพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 7 ตุลาคม ก็ต้องเดินทางมารับกลับไปอีกรอบ ถึงที่หมาย อ.วังน้ำเย็น สองทุ่มกว่าๆ

นายอุดร นางจงรัก อิทศรี

 หลานชายที่เสียชีวิตเป็นลูกชายคนเดียวของ นายอุดร กับ นางจงรัก อินทศรี อายุเพียง 17 ปี กำลังเรียนอยู่ ปวช.ปี 3 ที่ พระนครศรีอยุธยา รูปร่างสูงใหญ่เกินเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันและก็เคยไปช่วยพ่อทำงานทุกครั้งที่ปิดภาคเรียน ฉะนั้น ครั้งนี้จึงเป็นการสูญเสียที่ไม่ใช่เพียงลมหายใจของตัวน้องโจ้คนเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นการสูญเ้สียทั้งความหวังในอนาคต กับครึ่งหนึ่งของลมหายใจผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยเช่นกัน เพราะการทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานของพ่อแม่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่ออนาคตของลูกชาย

แต่ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีจุดสิ้นสุดของตนแตกต่างกันออกไป โดยไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงหรือพยายามยื้อยุดฉุดรั้งขอมีชีวิตยืนยาวไปจนถึง 100 กว่าปี เพราะทุกชีวิตเกิดมาจากธุลีย่อมกลับคืนสู่ผงธุลีในที่สุด แต่มันก็ควรจะเป็นไปตามหลักของธรรมชาติ นั่นก็คือ การเสียชีวิตดับสูญไปตามอายุขัย ดังนั้น การสูญเสียจากอุบัติเหตุจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความโศรกเศร้าของผู้ให้กำเนิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่งจากซ้าย : นางจงรัก อินทศรี และ นางอุษา ชักนำ
ยืนจากซ้าน : นายวิมล   พันโทชนินท์   และ นายภักดี เพชรรัตน์

และจากงานนี้เองจึงทำให้ห้าคนพี่น้องมีโอกาสได้มาพบปะพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรกในช่วงเกือบยี่สิบปีทีเดียวนับตั้งแต่งานศพคุณแม่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2539 ส่วนครั้งนี้ก็คงจะมีแต่น้องชายคนเล็กคนเดียวที่ต้องเดินทางมาไกลที่สูดโดยขับรถยนต์มาตามลำพังคนเดียว โดยออกมาจาก จ.ตรัง ตั้งแต่บ่ายสามโมงมาถึงคลองสามเอาตอนเกือบตีสี่ของวันใหม่ รวมเวลากว่า 13 ชั่วโมง และเป็นคนเดียวที่ยังไม่มีโรคประจำตัวเหมือนพี่ๆ ทั้ง 4 คน


ภาษาชาวบ้านเค้าเรียกวันเวลาที่มีงานใหญ่ๆ (ซึ่งส่วนมากจะเป็นงานศพ) ว่างานวันรวมญาติ เพราะจะมีญาติพี่น้องเดินทางมาจากทุกแห่งหนเพื่อมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียง โดยเฉพาะงานศพ ซึ่งไม่มีโอกาสจัดสองรอบได้ เนื่องจากทุกคนก็มีโอกาสตายได้เพียงครั้งเดียว และก็ไม่มีสิทธิขอต่อเวลาไปซักเดือนสองเดือนเพื่อรอญาติที่ติดราชการสำคัญ ดเป็นที่น่าสังเกตุว่า งานรวมญาตินี่จะสังเกตได้ว่าจะมีคนเพิ่มขึ้นมาทุกครั้ง(ส่วนมากจะเป็นเด็กเล็กๆ) และแน่นอนว่าจะต้องมีคนบางคนหายหน้าไปบ้าง(ส่วนมากจะเป็นคนสูงอายุ)

วันเวลาที่ผ่านไปบอกเราให้รู้ให้เข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์ได้ดี ขึ้นอยู่กับตัวของเราเองว่าพร้อมที่จะเปิดใจรับรู้ถึงข้อนี้หรือไม่ ? และพร้อมที่จะเดินเข้าหาความจริงหรือไม่ ?

นรชาติวางวาย มลายสื้นทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่วแต่ขั่วดี ประดับไว้ในโลกา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บริการสาธารณะ

บัวสี่เหล่า

ลมหายใจ