อายุที่เพิ่มขึ้น


ในช่วงเวลาของการรับราชการอันยาวนานนั้น ภาพชีวิตที่มีเลือดเนื้อของผู้ใหญ่และผู้ให้กำเนิดถูกลบหายออกไปจากความเป็นจริง กลับกลายเป็นเพียงภาพที่ยังคงฝังแน่นอยู่แต่ในความทรงจำเท่านั้น เพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้นของตัวเราเองเป็นเหมือนตัวผลักดันให้ชีวิตของท่านทุกคนเลื่อนสูงขึ้นไปทุกขณะจนหลุดพ้นออกไปจากวัฏจักรของสังขารตามกฎเกณฑ์ของชีวิต มันเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ไม่มีอะไรจะต้องไปคำนึงถึงจนเกินเลยไปจากที่ควรจะเป็น การอุปการะเลี้ยงดูบุพการีนั้นมีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเมื่อท่านเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะหันเหไปสู่ทิศทางอื่นแล้วก็จะหวนกลับมาสู่การเป็นผู้ถูกเลี้ยงดูในวาระสุดท้าย

แต่ภาพที่ปรากฎให้เห็นในสังคมปัจจุบันนี้แปรเปลี่ยนไปจากภาพที่เราคุ้นเคย ความห่างเหินเกิดขึ้นกับสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวขึ้นมา กลับกลายเป็นสังคมแห่งความเห็นแก่ตัว ความมุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยเล็งเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ ผูกติดยึดมั่นอยู่กับลาภยศ สรรเสริญ แสวงหาทรัพย์สินเงินทองอย่างไม่หยุดยั้งในทุกวิถีทาง แล้วก็บากบั่นมุ่งมั่นสร้างตนให้โดดเด่นเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป อันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเพียง "กิเลส" ที่มนุษย์โดยทั่วไปต้องการ แต่สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับสังคมเป็นปัจจัยในอีกด้านของเหรียญที่เรียกว่า "ตัณหา"

กิเลส นั้นมีอยู่ในทุกทั่วตัวคนไม่เว้นแม้แต่พระอรหันต์ เพราะมันเป็นเพียงความต้องการที่ทุกคนต้องมี ทุกคนต้องการอาหาร ทุกคนต้องการมีความสุข ทุกคนอยากเป็นคนดี พระอรหันต์ก็มุ่งหวังในนิพพาน ทุกคนมีกิเลสเหมือนกันทั้งหมด แต่มันก็มีขอบเขตที่สามารถควบคุมได้และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นเป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังและจะแสดงออกมาหรือไม่ก็ได้

แต่ตัณหานั้นมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างมาก เพราะตัณหาคือความทะยานอยากที่อยู่นอกเหนือไปจากสามัญสำนึกและไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด แม้จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาตามที่ต้องการแล้วก็ตาม ก็จะต้องมีความต้องการในสิ่งอื่นที่เหนือขึ้นไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง โดยปราศจาก เหตุผล ความยั้งคิดหรือคำนึงถึงความพอเพียง ความถูกต้อง และความเดือดร้อนของผู้อื่น

ไม่เคยมีความสงบเกิดขึ้นในจิตใจของบุคคลที่เปี่ยมล้นด้วยตัณหา
และไม่เคยมีความสงบเกิดขึ้นในสังคมที่ยกตัณหาขึ้นมาเป็นใหญ่

ประชาธิปไตย ยกประชาชนขึ้นมาเป็นตัวตั้งในวิถีทางของการปกครองสังคม เนื่องจากปริมาณของประชาชนที่มีผลอย่างมากต่อแนวทางของอำนาจ การกล่าวยกย่องเชิดชูประชาชนจึงเป็นประตูสู่จุดหมายด้วยรูปแบบที่อ้างถึึงความชอบธรรมใน สิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันในสังคม สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริงในสังคมหรือไม่ ?

เพราะในความเป็นจริงนั้น ประชาธิปไตย เป็นแต่เพียงบันไดในการไต่ขึ้นสู่อำนาจ เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนเท่านั้น กฎหมายทุกฉบับที่ถูกสร้างขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย เกือบทุกฉบับมุ่งที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนและระบอบทุนนิยม มากกว่าที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยทั่วไป หรือก่อให้เกิดประโยชน์เพียงน้อยนิดต่อสาธารณะ

... นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ที่มองเห็นและจับต้องได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า