สังคมในชุมชน


วันนี้ขึ้นต้นด้วยภาพของไก่ชน ไม่ได้มีความคิดที่จะชวนใครมาร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยแต่โบราณด้วยการตีไก่หรอกนะ เพราะด้วยใจจริงแล้วไม่ควรเรียกเรื่องนี้ว่า การกีฬาหรือวัฒนธรรมไทย แต่ควรจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มของพวกนักพนันและกลุ่มที่เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสุขสนุกสนานเมื่อได้พบเห็นความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณของชีวิตผู้อื่น แต่ไก่ชนที่เลี้ยงเอาไว้นี้เป็นการเลี้ยงเพื่อแก้เหงามากกว่าและเห็นมันเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนลูกหลาน ที่ต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่เหมือนกับคนในครอบครัว เพราะเชื่อว่ามันก็คงมีความคิด มีความรู้สึกเหมือนกับคนเรา เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตเช่นกัน เจ้ายาวตัวนี้ก็เช่นกันเลี้ยงมันมาตั้งแต่ออกจากไขและสะดุดตากับความเชื่องผิดพี่น้องของมัน เลยเอาใจมันเป็นพิเศษตลอดมา ดังนั้นการที่มันเดินเข้ามาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เวลาเดินลงไปบริเวณหลังบ้าน แล้วก็จะบินขึ้นไปเกาะบนราวเหล็กตากผ้าหรือกิ่งไม้สูงๆ พร้อมกับโก่งคอขันหลายๆ ครั้ง เป็นเหมือนกับการแสดงตนทักทายหรือประจบเอาใจเพราะรู้จักถึงความรักจากผู้เป็นเจ้าของและผู้อุปถัมภ์เกื้อกูลมัน

นั่นคือภาพถ่ายที่เจ้ายาวไ่ก่ชนเพศผู้บรรจงแอ็คชั่นต่อหน้ากล้อง ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมามันจะกลับมาในบ้านด้วยสภาพที่ขาซ้ายบริเวณข้อเข่ามีรอยบาดแผลจากของมีคมจนห้อยร่องแร่งเกือบจะขาดออกจากกัน มันกระโดดขาเดียวเข้ามาหาพร้อมกับหมอบลงเหมือนกับจะขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ทำได้เพียงแค่เอาไม้บางๆ มาทาบเข้าเฝือกใส่ยาทิงเจอร์พันผ้าแล้วก็ใช้พลาสเตอร์พันรัดไว้อย่างแน่นหนาก่อนจะอุ้มมันเข้าไปนอนในเล้า และเย็นวันนั้นเองก็มีเพื่อนบ้านไม่ใกล้เคียงนักพาลูกชายเข้ามาขอดูไก่ในเล้าเพราะไก่ชนของลูกชายหายไป อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้นบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร เมื่อคิดถึงศักดิ์ศรีในความเป็นตัวตนของเราในวัยเกือบหกสิบปี ศักดิ์ศรีในอดีตของความเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาก่อน กับการที่ถูกเด็กรุ่นวัยเพียง 14-15 พาพ่อบุกรุกเข้ามาในบ้านและกล่าวเหมือนกับว่าเราคือขโมยคนหนึ่ง แต่ช่วงเวลานั้นที่กระทำก็คือ พาสองพ่อลูกเดินเข้าไปที่หลังบ้านบริเวณเล้าไก่ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ด้านหลังของตัวบ้าน เมื่อเด็กคนนั้นเห็นเจ้ายาวที่นอนหมอบอยู่ก็อุ้มขึ้นมาส่งใ้ห้พ่อ ซึ่งคนที่เป็นพ่อก็ถามเราว่า ใครเป็นคนพันพลาสเตอร์ ในช่วงเวลานั้นหากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อสัก 20 ปีก่อนครั้งยังสวมเครื่องแบบอยู่คาดว่า สองพ่อลูกคงจะประสบกับสภาพบางอย่างที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต แต่ที่ทำก็เพียงแต่ชี้แจงว่าทำเองและแน่ใจว่าเป็นไก่ของเราเพราะเลี้ยงมาแต่เล็กคงไม่เลอะเลือนพอที่จะจำไก่ของตัวเองไม่ได้แน่นอน ซึ่งนับว่าโชคดีที่สองพ่อลูกเลิกราแต่เพียงเท่านั้นก่อนที่จะอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่

จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นเลี้ยงไก่ชนไว้หลายตัว แล้วเจ้ายาวคงจะบุกบั่นตามเสียงขันท้าทายเข้าไปในบ้านเค้า และเด็กคงเห็นลักษณะของเจ้ายาวแล้วชอบใจ แต่มาสรุปยังไงก็ไม่รู้ว่าคงใช้มีดไล่ขว้างหรือฟันเจ้ายางโดนแค่ขาทำให้มันบินร่อนหลบหนีมาที่บ้านได้ เจ้าเด็กวายร้ายนั่นจึงจูงจมูกพ่อพามาบุกถึงบ้านเพื่อตามมาเอาไก่แบบนักเลงโตโดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร

สองวันต่อมาเจ้ายาวก็ตายลงเพราะพิษบาดแผล และไม่กี่เดือนต่อมาได้ข่าวว่าเจ้าเด็กเวรนั่นถูกตำรวจจับไปเข้าคุกเรียบร้อยแล้ว ข้อหาเสพยาบ้า ทำให้เข้าใจอะไรได้ดีขึ้นว่าเหตุใดวันนั้น คนที่เป็นพ่อถึงกล้าพาลูกเดินมาในบ้านอย่างไม่เกรงใจ แล้วก็ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ แต่เชื่อแน่ว่าป่านนี้คงจะรู้แล้วล่ะว่าไอ้ทึ่มที่อยู่ในบ้านนี้น่ะมันเป็นใคร ? และก็ได้แต่คาดหวังไว้ว่าป่านนี้คงจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะฉลาดกว่าลูก มีสมองในการคิดมากกว่าลูกเพื่อที่จะได้มีอะไรไปสอนลูกบ้าง ไม่ใช่ทำเป็นแบบในเพลง ลูกทวดา ดีไปหมดในสายตาพ่อแม่จนถึงวาระที่เข้าไปนอนในคุกโน่นแหละถึงตาสว่าง แต่เรื่องยังไม่จบเท่านั้นเพราะได้ข่าวตามมาว่ากำลังวิ่งเต้นช่วยลูกสุดตัว แล้วก็ด่ากราดไปถึงบรรดาเพื่อนๆ หาว่าชักชวนลูกไปในทางที่ไม่ดี แต่ไม่ยักกะรู้ว่าลูกตัวเองน่ะคือหัวโจก

สังคมในชุมชนของบ้านนอกยังคงรักษาธรรมเนียมแต่โบราณมาอย่างไม่มีวิวัฒนาการ ไม่สนใจในการศึกษาหาความรู้ แต่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับทางราชการ รู้กฎหมายไปหมดทุกเรื่อง สามารถโต้เถียงข้อกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างไม่ลดละ แบบโง่ๆ คือใช้เสียงเอะอะโวยวายให้ดังที่สุดกับความคิดความเชื่อของตัวเองเป็นหลักการ ทำให้มองลึกลงไปถึงการปกครองตนเองของชุมชนว่า จะมีความหวังที่จะพัฒนาอะไร ? หากคนยังไม่ได้รับการพัฒนา


ห่านฝูงนี้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมาร่วมสามปีแล้วจากเพียง 2 ตัวจนเพิ่มเป็น 12 ตัว แต่ปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นศูนย์ สาเหตุนั่นมาจากอะไร ? เราจะมาว่ากันอีกรอบ เพราะมันเป็นเรื่องสังคมในชุมชนเช่นเดียวกัน บริเวณพื้นที่ของบ้านทั้งหมดประมาณ 3 ไร่ เป็นพื้นที่โล่งหลังบ้านประมาณ 2 ไร่สำหรับต้นไม้ใบหญ้าเล้าไก่ เล้าห่านและสระน้ำขนาด 1 งาน มักจะมีสุนัขของเพื่อนบ้านใกล้ไกลดอดมุดรั้วเข้ามารบกวนไล่กินไก่ แล้วก็ไล่กัดห่าน ตายไปทีละตัวสองตัวนานมาแล้ว ได้ยินเสียงก็ออกมาไล่ที แต่มันก็มักจะมาช่วง ตีห้าหรือหกโมงเช้า หรือไม่ก็บ่ายแก่ๆ จากลูกห่านก็เริ่มเป็นห่านตัวใหญ่ และในที่สุดก็ถึงคิวห่านจ่าฝูง เจ้าฝ้าย ห่านตัวโปรด วันนั้นมันโดนหมาขนาดใหญ่ สี่ตัวรุมล้อมกรอบอยู่ตัวเดียว สรุปแม่บ้านต้องอุ้มมันไปขายให้เจ้าของหมาเป็นครั้งที่สองในรอบเดือนเดียว(ที่จับได้คาหนังคาเขาว่าเป็นหมาของใคร) ทั้งๆ ที่บ้านเจ้าของหมานั่นห่างออกไปกว่าสามร้อยเมตรต้องผ่านบ้านคนอื่นมาถึงสิบกว่าหลังคาเรือน ถึงวันนี้มีห่านเหลือเพียง 5 ตัว และเมื่อวานก็ถูกรุมฟัดบาดเจ็บไปอีก 1 ตัวแต่ไม่รู้ว่าเป็นหมาของใคร ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการเลิกเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดอย่างเด็ดขาดไปเสียเลย ป้องกันปัญหาการจัดแย้งกับเพื่อนบ้านที่ไม่ใส่ใจในเรื่องสิทธิ และการละเมิดสิทธิของผู้อื่นในชุมชน

เคยมีคนฉลาดที่เลี้ยงสุนัขใกล้บ้านแนะนำให้ทำรั้วคอนกรีตรอบบ้านเสีย (งบประมาณคงจะราวๆ สองแสนบาทเป็นอย่างต่ำ) ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าตัดเงินที่จะทำรั้วสัก 35 บาทมาซื้อลูกปืนสักนัดสองนัดไว้ยิงหมา หรือ ... น่าจะหมดเปลืองน้อยกว่าและก็ตัดต้นตอของปัญหาได้ดี กว่า เพราะหมามันไม่ใช่แค่กัดไก่กัดห่านเท่านั้น แต่มันพากันมาขี้ใส่หน้าบ้านไว้ทุกวัน ไม่นับรวมที่มันไล่เห่าไล่กัดคนขับขี่รถผ่านหน้าบ้านนะ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนในชุมชนส่วนมากมองเห็นแต่สิ่งที่เป็นผลประโยชน์สำหรับตนเท่านั้น สิ่งใดที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนจะยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด ทำให้กลายเป็นเหยื่อของนักการเมืองที่ชอบแสวงหาผลประโยชน์ไปโดยปริยาย บอกแล้วว่าอย่าไปพัฒนาชุมชนให้เสียเวลาเลยครับ พัฒนาคนให้มีความคิดบ้างก็พอแล้ว

ไม่ต้องร่ำเรียนจนถึงปริญญาตรีหรอก จบ ป.4 ก็คิดเป็นถ้าไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า