สังคมที่อ่อนแอ


ประมาณปี 2546 หรือ 47 ปีไหนก็ชักไม่แน่ใจแล้วแต่จำได้ว่าเคยใช้เวลาในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกเอาอาหารปลามาหว่านอยู่ริมสระน้ำนี้เมื่อมีโอกาสได้กลับมาบ้านช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ช่วงนั้นมีปลานิลอยู่ไม่ใช่น้อยและก็รู้เวลาอาหารดีเสียด้วย เพราะเพียงแต่เดินมาถึงขอบสระ พวกมันก็จะพากันแห่แหนมาเต้นระบำใต้น้ำให้ดูเป็นการแลกเปลี่ยนกับอาหารชั้นดี แต่ละตัวโตกว่าฝ่ามือทั้งนั้นเท่าที่ลองกะดูคร่าวๆ น่าจะเกินร้อยอย่างแน่นอน เป็นช่วงเวลาของการผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ เวลาผ่านมาไม่กี่เกือนเมื่อเดินไปถึงขอบสระปรากฎว่าผืนน้ำเงียบสงบเหมือนทะเลหลังเกิดมรสุม ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ปรากฎให้เห็นเลยแม้แต่ชีวิตเดียว จากการคาดเดาเชื่อว่าคงจะมีมือดียืนรอปลามารวมพลจนครบถ้วน ซึ่งมันจะทำทุกครั้งเมื่อเห็นคนมายืนขอบสระ และหลังจากนั้นปลาทั้งหมดก็จะถูกรวบไว้จากการใช้แหตาถี่ๆ หว่านลงไปเพียงครั้งเดียว หรืออาจจะมีการตามเก็บกวาดอีกระลอกหรือหลายระลอก แต่สรุปแล้วก็คือเกลี้ยงหมดทั้งสระขนาดเกือบ 2 งาน

ผู้อ่อนแอไม่เคยรู้จักให้อภัย การให้อภัยเป็นคุณลักษณะของผู้เข้มแข็ง ..... คำพูดประโยคนี้เป็นของท่าน มหาตมะ คานธี ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับปลานิลในบ่ออีกต่อไป หันไปปลูกต้นไม้ถากถางต้นไม้ใบหญ้าไปตามยถากรรมด้วยความสงบในจิตใจ ไฟในอกที่กำลังเดือดพล่านมันก็เย็นลงไปได้ในที่สุด เลิกคิดแค้นหรืออาฆาตพยาบาทแม้จะฝืนใจแต่ก็ต้องทนทำใจ (แต่ก็ยังเผลอใจแอบนึกแช่งให้ก้างปลาติดคอมันตายไปซะ)

ชีวิตในชนบทยุคนี้ไม่ได้เป็นเหมือนสมัยโบราณที่่คนเรายังรู้จักคำว่า ละอายใจต่อการกระทำความผิด และ ศีลธรรมในเรื่อง หิริ โอตัปปะ แต่ทว่าคนเราในยุคนี้มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์มาเพื่อบำรุงตนโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความละอายใจที่จะเบียดบังเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน ครอบครัวส่วนมากเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกหลานให้เอาตัวรอดอยู่ในสังคมด้วยการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด สถานศึกษาที่รับช่วงมาอบรมสั่งสอนก็สร้างระบบการเรียนการสอนแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันเพื่อผลักดันผู้เรียนไปสู่ความเป็นเลิศด้านวิชาการ โดยไม่ใยดีต่อการอบรมสั่งสอนกล่อมเกลาจิตใจของผู้เรียน ดังนั้นคนที่ขาดการอบรมบ่มเพาะจิตใจมาจากระดับครอบครัวก็จะยิ่งห่างไกลออกไปจากคุณธรรมในการดำเนินชีวิต แล้วก็ก้าวเดินเข้าสู่จุดมืดบอดทางศีลธรรมโดยสมบูรณ์

ในเมื่อสังคมกำหนดให้มีการแข่งขันเกิดขึ้น ก็จะต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ มีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ ผู้คนก็จะต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่จะทำให้ได้มา ผู้แพ้ก็จะต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดและเพื่อให้กลับมาเป็นผู้ชนะ สังคมที่แข่งขันก็จะกีดกันผู้คนให้ถอยห่างออกจากกันจนเกิดช่องว่างมหึมาระหว่างคนรวยกับคนจน ขณะที่คนรวยมีทุนรอนในการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น คนจนก็จะถูกผลักถูกเหยียบให้จมดิ่งลงไปลึกลงทุกขณะ

แต่ในบางช่วงเวลาคนรวยก็จะแกล้งเปิดช่องโอกาสให้คนจนบางส่วนได้พยายามถีบตัวผ่านช่องว่างขึ้นมาสูดอากาศของความรวย ก่อนจะถูกถีบให้ดำดิ่งลงไปในที่เดิมของตน ซึ่งโอกาสเช่นนี้เราได้รับมาจากรัฐบาลด้วยโครงการเอื้ออาทรหลากหลายตามนโยบายประชานิยม เพื่อให้ประชาชนที่ไม่มีรายได้ ได้รับโอกาสในการเป็นหนี้เทียมเท่าคนรวย โดยไม่ต้องมองถึงอนาคตใดๆ ทั้งสิ้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า