สังคมที่เริ่มมืด
เมื่อประมาณปี 2548 เคยเลี้ยงปลานิลไว้ฝูงใหญ่ทีเดียว ซึ่งช่วงนั้นยังคงรับราชการอยู่จึงมีเวลามาดูแลเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น แม่บ้านก็มีธุระส่วนตัวมากมายเลยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ปลานิลที่เลี้ยงไว้คราวนั้นมีอยู่นับร้อยใหญ่สุดก็ขนาดยาวกว่า 20 เซนติเมตรแล้วก็จะมีปลาหมอ ปลาดุก ปะปนอยู่บ้าง ปลาพวกนี้เลี้ยงด้วยหัวอาหารถุงละหลายร้อย พอช่วงเช้าช่วงเย็นก่อนให้อาหารก็จะออกไปเดินวนขอบสระเล่นซักรอบสองรอบ ปลาพวกนี้ก็จะแห่แหนว่ายน้ำตามเงามาทีเดียวเพราะรู้ว่าจะได้กินอาหารแล้ว
อยู่มาวันหนึ่งปลาพวกนี้ก็หายไปจากสระน้ำอย่างลึกลับ โดยไม่ทราบสาเหตุ (คาดว่าอาจจะถูกมนุษย์ต่างดาวมาจับไปศึกษา) สระน้ำนิ่งสงบไม่มีแม้แต่รอยกระเพื่อมของน้ำที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต ช่วงนั้นไม่เคยคิดให้ร้ายกล่าวโทษผู้คนในโลกใบนี้(แม้จะคิดอยู่ในใจ) แล้วต่อมาวันหนึ่งเมื่อเห็นพ่อไก่ชนมานอนตายอยู่ในเล้าโดยมีลูกดอกเสียบคาอยู่ที่สีข้าง จึงบรรลุถึงสัจธรรมว่า แม้แต่มนุษย์ต่างดาวมันก็ยังใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ ทำไมคนเราถึงไปกลัวมันนักสังคมใดหากมีผู้คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ตนต้องการโดยไม่มีความกลัวเกรงต่อความผิด ไม่ว่าจะเป็นความผิดตามกฎหมาย ทางศีลธรรม หรือทางจารีตประเพณี สังคมนั้นอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง
และสังคมใดที่มีกฎหมายแล้วกฎหมายนั้นมิได้ถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง หรือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพิกเฉยละเลยต่อบทบังคับของกฎหมาย หรือเจตนาหลีกเลี่ยง เบี่ยงเบนเนื้อหาการปฏิบัติของกฎหมาย สังคมนั้นอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้คนพร้อมที่จะให้อภัยและลดหย่อนผ่อนโทษแก่ผู้ที่กระทำความผิดเสมอ
รัฐบาลพร้อมที่จะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและเพิ่มสวัสดิการให้แก่ผู้ต้องขังให้มีชีวิตที่สุขสบายในเรือนจำ
หลายหน่วยงานจัดให้มีการอบรมวิชาชีพแก่ผู้ถูกจับกุมทุกระดับความผิดเพื่อให้มีชีวิตใหม่ในสังคม
แต่เคยมีใครคิดหรือไม่ว่าในบรรดานักโทษเหล่านั้น หลายคนวนเวียนเข้าออกเป็นประจำ
และมีอาชีพอะไรที่สามารถทำเงินได้ง่ายๆ และสะดวกสบายเหมือนกับที่พวกเขาเคยทำมา
การเริ่มต้นทำผิดกฎ ระเบียบของสังคมตั้งแต่ระดับล่างๆ จะนำมาซึ่งการกระทำความผิดที่ร้ายแรงต่อกฎหมายของบ้านเมืองในอนาคต การผ่อนผันด้วยหลักทางศีลธรรมจึงมิใช่วิธีแก้ปัญหาของสังคมโดยรวม เพราะคนพวกนี้ส่วนมากไม่มีศีลธรรมอยู่แล้วโดยสายเลือด
นี่คือความจริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น