ปลีกวิเวก



พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือรู้จักในนาม พุทธทาสภิกขุ (27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 — 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536) เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2449 เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ 20 ปี ที่วัดบ้านเกิด จากนั้นได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค แต่แล้วท่านพุทธทาสภิกขุก็พบว่าสังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้เลย ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับมาปฏิบัติธรรมที่อำเภอไชยา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านอีกครั้ง พร้อมปวารณาตนเองเป็น พุทธทาส เนื่องจากต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด
ผลงานเด่นของทาสพุทธทาสคืองานหนังสือ อาทิ หนังสือพุทธธรรม, ตามรอยพระอรหันต์ และคู่มือมนุษย์ และเป็นสงฆ์ไทยรูปแรกที่บุกเบิกการใช้โสตทัศนูปกรณ์สมัยใหม่สำหรับการเผยแพร่ธรรมะ และท่านมีสหายธรรมคนสำคัญ คือ ปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานรังสฤษฎ์ และ ท่าน บ.ช. เขมาภิรัตน์
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ซึ่งท่านสามารถเข้าไปอ่านประวัติของท่านโดยละเอียดได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/พระธรรมโกศาจารย์_(เงื่อม_อินทปัญโญ) )

เกี่ยวกับ งานหนังสือนี้ ท่านเคยให้สัมภาษณ์ กับพระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า

"เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่ามันคุ้มค่า
อย่างน้อยผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครในประเทศไทยบ่นได้ว่า
ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ ได้ยินคนพูดจนติดปากว่าไม่มีหนังสือธรรมะ
จะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้บ่นไม่ได้อีกแล้ว"

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ละสังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สิริรวม อายุ ๘๗ ปี นับได้ ๖๗ พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่านให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธาน ของท่านรับมรดกความเป็น "พุทธทาส" เพื่อพุทธทาสจะได้ไม่ตายไปจากพระพุทธศาสนาดังบทประพันธ์ ของท่านที่ว่า

พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็นร่างกายไปไม่ลำเอียง นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
พุทธทาสคงอยู่ไปไม่มีตาย ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
พุทธทาสยังอยู่ไปไม่มีตาย อยู่รับใช้เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
แม้ฉันตายกายลับไปหมดแล้ว แต่เสียงสั่งยังแจ้วแว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย ก็เหมือนฉันไม่ตายกายธรรมยัง
ทำกับฉันอย่างกะฉันนั้นไม่ตาย ยังอยู่กับท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ให้กันฟัง เหมือนฉันนั่งร่วมด้วยช่วยชี้แจง
ทำกับฉันอย่างกะฉันไม่ตายเถิด ย่อมจะเกิดผลสนองหลายแขนง
ทุกวันนัดสนทนาอย่าเลิกแล้ง ทำให้แจ้งที่สุดได้เลิกตายกันฯ
พุทธทาส อินทปัญโญ
(จาก http://www.buddhadasa.com/history/budprofile4.html : เว็บไซท์ของท่านพุทธทาสภิกขุโดยตรงซึ่งสามารถหาหนังสือธรรมะหรือเสียงบรรยายธรรมได้ตามความต้องการ)

ยังไม่ได้คิดที่จะชวนหันหน้าเข้าวัดหรอกนะท่านสาธุชนทั้งหลาย เพียงแต่บางเวลาก็อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ว่าตัวเราเองนับวันก็ยิ่งจะห่างเหินไปจากพุทธศาสนามากขึ้นไปทุกขณะ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปโดยเจตนาแต่มันเป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า ธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะให้ความสนใจต่อสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการบางอย่างของตนได้เท่านั้น แต่หลักธรรมคำสอนยากเกินไปสำหรับคนเดินดินปกติสามัญ แต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เผยแพร่มากหลายกลับทำให้หลักธรรมนั้นยากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้หลักธรรมกลายเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะพระสงฆ์ และประชาชนทั่วไปก็รับรู้ได้เฉพาะที่พระสงฆ์ต้องการให้รู้

คำสอนของพระสงฆ์บางรูปกลับเปิดกว้าง อธิบายถึงหลักธรรมอย่างปกติเหมือนกับการนั่งพูดคุยกันโดยทั่วไป ดังเช่นท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านปัญญานันทภิกขุ และอีกหลายๆ ท่านในสมัยปัจจุบันที่เริ่มมีการบรรยายธรรมในลักษณะของคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่หลักธรรมมากกว่าพิธีกรรม
มุ่งพัฒนายกระดับความสำคัญของทางจิตใจให้อยู่เหนือวัตถุ
อันเป็นแนวทางที่ขัดกับเส้นทางทำมาหากินของกลุ่มคนที่นุ่งห่มผ้าเหลืองบางกลุ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดเหตุขัดแย้งกันในวงการพุทธศาสนาตลอดมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในที่สุดก็จะมีเรื่องของการเมืองเข้าไปสอดแทรกพัวพัน เนื่องจากมีเรื่องผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งส่งกลิ่นเย้ายวนใจจนอดไม่ได้ที่จะต้องก้าวเข้ามายุ่งกี่ยว

อันที่จริง ที่พาปากกาก้าวผ่านเข้ามาในธรณีสงฆ์วันนี้ก็เพราะเคยเห็นภาพท่านพุทธทาสภิกขุกำลังกวาดลานวัดอยู่น่ะครับ และตัวเองก็กำลังกวาดลานดินหน้าบ้านอยู่เหมือนกัน ความสุขสงบบางครั้งก็เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานได้เหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงส่งความคิดเราล่องลอยไปได้ไกลจากบ้านมากมาย มีเวลาเหลือพอที่จะพิจารณาถึงเหตุและผลในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในสังคม มีเวลาพอที่จะไตร่ตรองเหคุและผลของทุกการกระทำที่ผ่านมา และที่กำลังจะทำต่อไป

คิดไปถึงผู้คนที่พากันก้มหน้าก้มตาทำงานห่างบ้านห่างครอบครัวเพื่อแสวงหาทรัพย์สินด้วยข้ออ้างสารพันตามแต่จะกล่าวอ้าง
หลายคนมีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตได้ปกครองผู้อื่น
แต่หลายๆ คนก้มหน้าก้มตารับใช้ผู้อื่นตลอดทั้งชีวิต
คนเหล่านั้น หลายคนก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เป็นเจ้านายของตนเอง
จนถึงวันสิ้นลมหายใจไปในวันหนึ่ง ... โดยไม่รู้ตัว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า