นกไร้รัง


เมื่่อต้นเดือนที่ผ่านมามีพายุฝนรุนแรงหนักหน่วงจนเกินความต้องการของชาวนาไปมากมาย เพราะช่วงนี้ชาวนาต้องการแค่น้ำฝนมาลงในนาข้าว แต่พายุทำเอาต้นไม้ใหญ่หลายต้นถึงกับถอนรากถอนโคน และที่บ้านก็โดนรางวัลใหญ่เข้าเหมือนกัน นั่นคือซุ้มเฟื่องฟ้าที่บรรจงเอาไม้ไปทำคานรับกิ่งก้านให้เป็นร่มเงาที่หน้าบ้านเกิดสะบัดลากเอาคานไม้ล้มระเนระนาด มิหนำซ้ำยังลากเอาต้นเฟื่องฟ้าเอนราบลง ส่งผลให้ท่อนเหล็กที่ตั้งเป็นแกนอยู่พับงอลงไปด้วย หมดหนทางเยียวยา เนื่องจากน้ำหนักที่มากจนเกินกำลังที่จะยกขึ้นมาตั้งตรงเหมือนเดิม ทำให้ต้องตัดใจ แล้วก็ต้องตัดยอดมันออกหมดทั้งต้น

ลูกนกเขาน้อยตัวนี้คือเหยื่อโดยไม่เจตนาเพราะรังของมันก็อยู่บนต้นเฟื่องฟ้าทำให้มันตกลงมาหมกอยู่ในกอหญ้าจนถึงเช้าหนังหัวเป็นแผลฉีกขาดถึตาข้างหนึ่ง คาดว่าน่าจะโดนหนามเฟื่องฟ้าครูดเอาหนังเปิดออกได้เลือดพอสมควร จึงรับหน้าที่เอามารักษาพยาบาลเหมือนกับที่เคยทำมาก่อนเมื่อปีที่แล้วในกรณีคล้ายๆ กัน โดยใส่กล่องไว้ในบ้านพอเช้าก็เอาออกไปรอให้พ่อแม่มันเอาอาหารมาป้อน

แต่ลูกนกตัวนี้สงสัยจะทำบุญมาน้อย เผลอแวบเดียวเท่านั้นเอง พอออกไปดูก็เห็นแต่เศษขนเศษเลือดเศษเนื้อเกลื่อนบนระเบียงบ้าน โดยมีแมวของเพื่อนบ้านกระโดดหนีออกไปให้เห็นหลังเหมือนจะเยาะเย้ย คิดแล้วมันก็น่าแค้นนักกับสารพัดสัตว์เลี้ยงของเพื่อนบ้านที่ขยันเข้ามาจองเวรกันไม่ได้หยุดหย่อน ตั้งแต่ฝูงหมาที่เข้ามารุมกัดห่านในบ้าน หมาที่ดอดย่องเข้ามาไล่กัดไก่เป็นกิจวัตร ไม่นับขี้หมาที่เกลื่อนหน้าบ้าน รวมไปถึงฝูงไก่ที่เข้ามาคุ้ยเขี่ยกองขยะกระจุยกระจาย มันเป็นภาวะจำยอมที่รอวันฟ้าผ่า

ลูกนกตัวนี้แม้จะเป็นชีวิตเล็กๆ แต่ก็มีคุณค่ามหาศาลสำหรับพ่อแม่ของมันจนไม่สามารถประเมินค่าได้ ซึ่งก็เหมือนกับทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้เช่นกัน (แต่ก็อาจจะยกเว้นสำหรับแมวตัวนี้ถ้าได้เจอกันใกล้ๆ) ทำไงได้ล่ะคนเรามันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักโกรธแค้น ชีวิตต้องทดแทนด้วยชีวิต ไม่งั้นบ้านเมืองจะมีกฎหมายไว้ทำไม โทษที่จะได้รับมันก็สมควรจะได้รับให้สาสมกับความผิดที่มันทำลงไป


นี่คือสภาพของต้นเฟื่องฟ้าที่เคยเป็นร่มเงาแผ่กว้างตอนนี้เหลือเพียงลำต้นยืนหงอยเหงารอวันฟื้นฟูอีกนานนับเดือนนับปี แต่ก็ยังดีที่มีโอกาสฟื้นฟู เพราะต้นไม้ไม่ใช่บ้านเมืองที่ถูกนักการเมืองกอบโกยโกงกินจนแทบจะล้มละลายหายสาบสูญไปจากสารบบของสังคมโลก แม้แต่ข้าวที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสินค้าส่งออกลำดับแรกของประเทศก็ยังถูกลบเลือนไปเสียแล้วจากความทรงจำ กลับกลายเป็นประเทศที่ส่งออกความโง่เป็นอันดับ 1 ของโลกไปซะงั้น

ประเทศที่เคยรุ่งเรืองด้านกสิกรรมจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก 
ในวันนี้กลับกลายเป็นเพียงอดีตให้คิดถึงเท่านั้น
เพราะผู้บริหารประเทศกำลังผลักดันอุตสาหกรรมให้เลิศหรู
อุ้มชูผู้ผลิตด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีของประชาชน
เพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน
ที่พร้อมที่จะละทิ้งผืนแผ่นดินไปสู่ชีวิตที่ร่ำรวยนอกประเทศ
เมื่อโดนประชาชนขับไล่ในวันหนึ่งข้างหน้า
พร้อมกับนักการเมืองที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัวสี่เหล่า

บริการสาธารณะ

มองไปข้างหน้า